Wednesday, August 12, 2009

stefan sagmeister, designer i like


STEFAN SAGMEISTER'S PROFILE




















- Stefan Sagmeister เกิดในปี 1962 ที่เมือง Bregenz ประเทศออสเตรีย ครอบครัว Stefan Sagmeister ทำธุรกิจเกี่ยวกับการออกแบบแฟชั่น
- Stefan Sagmeister ได้เข้าศึกษาในโรงเรียนประจำท้องถิ่นที่เกี่ยวกับวิศวกรรม จากนั้นในปี 1981 Stefan Sagmeister ได้ย้ายไปเรียนกราฟฟิกดีไซน์ที่ Vienna University of Applied Arts
จบการศึกษาปริญญาปีชั้น 1 ในปี 1985

- ต่อมาเขาได้เริ่มต้นใช้ชีวิตที่ New York

- ในปี 1987 เขาได้ในทุนการศึกษาเพื่อเข้าไปเรียนที่ Pratt Instit
ute และเขาได้กลับบ้านเกิดที่ Vienna อีกครั้งเพื่อรับใช้ชาติเขาได้เกณฑ์ทหารและได้ทำงานในเขตผู้ลี้ภัยและได้ออกแบบ
โปสเตอร์สำหรับงานเทศกาล Nickelsdorf jazz

- ย้ายไปอยู่ที่ Hongkong ในปี 1991 เพื่อเข้าไปทำงานในบริษัทของ Leo Burnett

- ในปี 1993 เขาได้กลับไปที่ New York อีกครั้ง เพื่อทำงานกับ Tibor Kalman ที่บริษัทM&Co หลังจากนั้นอีก6เดือนต่อมา Kalman ได้ปิดบริษัทM&Co ลงไป แต่เขาก็ได้เปิดสตูดิโอของตัว
เองขึ้นมา

- ในปี 2000 Sagmeister ได้หยุดทำงา
นในปีนี้ เพื่อวางแผนทำงานทดลองงานต่างๆ และในปี 2001 เขาก็ได้เปิดสตูดิโอของเขาอีกครั้ง เพื่อจัดพิมพ์หนังสือของเขา ที่มีชื่อว่า “Made You Look”ซึ่งเป็นหนังสือที่ผู้คนต่างกล่าวขวัญกันอย่างแพร่หลาย

- ในปี 2004 เขาได้ไปเป็นวิทยากรที่ Berlin และเขายังได้เผยความลับของ “Trying to look good limits my life” ซึ่งเป็นเรื่องราวในภาพต่างๆ


PORTFOLIO







































MADE YOU LOOK



















- Made you Look เขาทำเพราะความต้องการส่วนตัวของเขา 

- หนังสือเล่มนี้ยังเป็นห้องโชว์ผลงานที่บอกเล่าเรื่องราวต่างๆ โดยจะDesign เพื่อลูกค้าก่อน
และมีเนื้อหาตามมาทีหลัง

- หนังสือเล่มนี้ยังประกอบไปด้วยข้อคิดและกลอุบายในการมองเห็น ซึ่งทำให้เกิดความน่าสนใจ

- หนังสือเล่มนี้ได้รับ feed back ตอบกลับมาจากแรงบันดาลใจของ Stefan เขาบอกว่า
เขาเดินไปเรื่อยๆ แล้วนั่งจิบกาแฟข้างทาง แล้วนั่งดูผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา หรือทำ research นอกจากนี้ สิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบตัว ก็เป็นแรงบันดาลใจให้กับเราได้กว่าจะมาเป็น Idea?

- ได้คิดเกี่ยวกับ Project จากมุมมองที่สามารถเป็นไปได้ บางอย่างที่ได้มาอาจได้มา จากตัวคุณเอง จากแม่คุณ จากลูกค้า จากสี หรือจาก font ต่างๆ

- บางครั้งการสร้าง Idea ก็เกิดจากการเขียนสิ่งต่างๆ ลงใน card (สิ่งที่เป็นไปได้) แล้วนำมาวาง
กองรวมบนโต๊ะ แล้วนำมาหาความสัมพันธ์ ถ้าคิดไม่ออกก็ให้ลืมมันไป Idea จะมาเองเมื่อคุณ
ไม่ได้นึกถึงมัน

- พื้นฐานของการออกแบบ คือ คิด , ทำเป็นข้อๆ , ตั้งสมาธิ , พบปะพูดคุยกับลูกค้า , ฟังเพลง , ดู Sketch book เก่าๆของตัวเอง


Sagmeister’s theory

- แซกไมสเตอร์พูดถึงเทคนิคที่เขานำมาใช้ในงานออกแบบบ่อยครั้ง ความน่าสนใจอยู่ที่ว่า
มันเกี่ยวข้องกับทฤษฎีการรับสารด้วย

“ กราฟฟิกดีไซน์นั้นต่างจากภาพยนตร์และงานเขียนอยู่มาก ผู้รับสารของเราจะสนใจสิ่งตรงหน้า
แค่เพียงไม่นาน เหมือนเวลามีคนยื่นนามบัตรให้คุณ คุณจะมองผ่านมันเพียงแวบเดียวเท่านั้น แล้วก็เก็บใส่กระเป๋า หรือถ้าเป็นหน้าเว็บไซต์ คุณก็อยู่กับมันแค่นาทีสองนาทีเอง”

“ ภายในเวลาสั้นๆ ตรงนั้น เราต้องดึงความสนใจจากผู้รับสารให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นนามบัตร หนังสือ หรืออะไรก็ตาม อาจจะออกแบบให้มันเคลื่อนไหวได้ มีรูปร่างหน้าตาที่ไม่ธรรมดา ทำยังไงก็ได้
ให้ผู้คนใช้เวลาอยู่กับผลงานนานขึ้นกว่าปกติ จริงๆ กลเม็ดเรียกความสนใจมันก็มีหลายอย่างนะ
มุขตลกหรือการแกล้งให้ตกใจก็เป็นวิธีหนึ่ง แต่สำหรับ ผมแล้วผมชอบให้คนมีส่วนร่วมในการรับชม
ผลงานของผมมากกว่า ”


graphic design that touches people's heart

- กลายเป็นวิชาสอนที่ School of Visual Arts , Cooper Union และ Kunste ชื่อวิชา Can design touch someone's heart?

- เขาเคยเขียนไว้ในบทความของเขาว่า งานออกแบบที่ดี ควรจะต้องมีองค์ประกอบที่ดี 2 อย่าง คือ การออกแบบที่ดี (good design) กับ จุดมุ่งหมายที่ดี (good cause)

- ต้องหาสมดุลระหว่างดีไซน์ที่ดีกับเนื้อหา หรือจุดมุ่งหมาย

- ถ้าไม่ระวังเนื้อหาจะดังกว่าดีไซน์จนไม่ต้องมีดีไซน์ก็ได้

- ในทางกลับกัน ถ้าไม่มีจุดมุ่งหมายที่ดีก็ปราศจากดีไซน์ที่ดี

- ซึ่งสนับสนุนคำพูดของ แคเธอรีน แมคคอย " ถ้าดีไซน์สวยแค่ไหน ถ้าไม่มีอะไรพูดก็... "



- สรุปการทำงานของ Sagmeister

1.เขาคำนึงถึง Concept ของลูกค้าทุกครั้งที่คิดงานเพื่อที่จะนำความต้องการของลูกค้านำไปคิดต่อ

2.เขารวบรวมความคิดและนำมาวิเคราะห์หาแนวคิดที่ดีที่สุดที่สามารถตอบโจทย์ของงานและสิ่งที่ลูกค้าต้องการได้

3.เขาชอบทำงานที่มีการเล่นกับสายตาเสมอ เขาต้องการให้สะดุดตาทุกครั้งเมื่อมองเห็นในครั้งแรก แล้วชอบที่จะซ่อนอะไรไว้ภายใต้งานของเขา

4.เขามีการวางแผนและมี Sketch เสมอ

5.ชอบใช้ตัวเองเป็นส่วนหนึ่งกับงานบ่อยๆ เพราะว่าเป็นอะไรที่ง่าย และถูกที่จะนำเอามาใช้

6.Typography ที่เขาใช้ เขามักจะใช้ลายมือตัวเองและสร้างตัวอักษรจากสิ่งต่างๆ เขาบอกว่า
เขาไม่อยากถูกครอบงำจาก type faceของคนอื่น

7.เขาชอบที่จะลดลองใช้วัสดุแตกต่างกันไปกับงานของเขา